2 พฤศจิกายน, 2022
การซื้อโฆษณาออนไลน์ในปัจจุบันคือช่องทางการเผยแแพร่สื่อสารข้อมูลถึงกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพ อย่างที่ Rocket ได้เคยอธิบายถึง CPC ไปก่อนหน้านี้แล้ว ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดผลของการทำโฆษณาออนไลน์รูปแบบหนึ่งและเป็นการเสียค่าใช้จ่ายก็ต่อเมื่อกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้ามีการคลิกเท่านั้น แต่ยังไม่ได้มีกาารเจาะลึกถึงการชำระเงินและวัดผลอีกรูปแบบ นั่นก็คือ CPM หรือ Cost per Impressions
ยาวไปไม่อ่าน คลิกเลย
CPM คือ ตัวย่อของ cost per 1000 impressions หรือ cost per mille ที่มีความหมายว่า ต้นทุนต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง กล่าวคือจะมีการคิดเงินที่ต้องชำระค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อตัวโฆษณามีการแสดงผลครบ 1,000 ครั้งแล้วเท่านั้น ไม่ได้เป็นการคิดต่อครั้ง ต่อคลิก หรือคิดจากจำนวนของการแปะป้ายโฆษณา
การทำการโฆษณาในรูปแบบนี้ ผู้ซื้อโฆษณาอาจจะไม่ได้คาดหวังกับกำไรหรือยอดขาย แต่ต้องการที่จะสร้างแบรนด์ สร้างภาพลักษณ์และตัวตน ให้เป็นที่รู้จัก กลายมาเป็นภาพจำของกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้า เพื่อหวังผลถึงอนาคต
CPC ย่อมาจาก Cost per Click คือ ต้นทุนต่อคลิก และใช้จำนวนคลิกมาคิดเป็นจำนวนเงินที่ต้องชำระให้กับแพลตฟอร์มที่คุณลงโฆษณา โดยสามารถกำหนดค่าใช้จ่ายได้เอง แต่ CPM เป็นการคิดเงินเมื่อแสดงผลครบ 1,000 ครั้ง ไม่เกี่ยวกับยอดการคลิก
CPA คือ Cost per Acquisition หรือ Cost per Action เป็นการคิดค่าโฆษณาต่อหนึ่งการกระทำที่เกิดขึ้น หมายความว่าการคิดเงินจะเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มเป้าหมายมีการคลิกเข้าไปในเว็บไซต์แล้วเกิดการกระทำบางอย่าง เช่น การสมัครสมาชิก การสั่งซื้อสินค้า เป็นต้น
ในขณะที่ CPM คือ การคิดเงินเมื่อเกิดแสดงผลของโฆษณาครบ 1,000 ครั้ง
การซื้อโฆษณาเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการทำการตลาดออนไลน์ในยุคปัจจุบัน เพราะตลาดออนไลน์เป็นตลาดที่ใหญ่และมีกำลังซื้อที่สูง ช่วยเพิ่มโอกาสให้กับแบรนด์หรือธุรกิจได้อย่างดี ยิ่งในปัจจุบันที่มีการปิดกั้นการมองเห็นของโพสต์แบบทั่วไป การซื้อโฆษณาหรือยิงแอดยิงกลายมาเป็นช่องทางหลักที่ช่วยเอื้อการเข้าถึงของข้อมูลที่แบรนด์ต้องการจะสื่อส่งไปถึงยังลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แน่นอนว่าระบบการคิดค่าโฆษณาเด่นๆนั่นก็คือ CPM หรือ การยิงโฆษณาแบบที่แสดงผลครบ 1,000 ครั้งถึงมีการคิดค่าใช้จ่ายนั่นเอง
และที่สำคัญเรื่องของการยิงแอดก็ควรมีผู้เชี่ยวชาญอย่าง Rocket ที่มีบริการ รับทำการตลาดออนไลน์ และ รับยิงแอด ที่จะช่วยให้การลงทุนการตลาดออนไลน์นั้นคุ้มกับต้นทุนที่ลงไปนั่นเอง
การแสดงผลของ CPM มี 2 ประเภทด้วยกัน ดังนี้
Monetized views นั่นก็คือยอดวิวที่สร้างรายได้นั่นเอง ยอดนี้จะถูกนับก็ต่อเมื่อมีการกดเข้าไป หรือดูที่โฆษณาค้างไว้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ทำให้เกิดวิวที่สร้างรายได้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม line official account สามารถใช้ทำ CRM ได้ดีกว่า line personal account เพราะว่าสามารถสร้าง impressions ได้โดยตรงกับลูกค้านั่นเอง
Non-Monetized Views คือ ยอดวิวที่ไม่สร้างรายได้ นั่นก็คือไม่มีผู้สนใจและเลื่อนผ่าน อาจจะเกิดได้จากหลายๆปัจจัยในการยิงแอดออกไป
การใช้งานโฆษณาแบบ CRM ต้องคำนึงถึง 2 อย่างด้วยกัน ดังนี้
แต่ละแพลตฟอร์มออนไลน์ก็จะมีตำแหน่งที่หลากหลายให้เลือกสรรค์ตามรูปแบบของโฆษณาหรือกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะสื่อสารให้ถึง เพราะฉะนั้นตำแหน่งโฆษณาจึงต้องมีความสำคัญและควรค่าแก่การคำนึงถึงเป็นอย่างมาก เพราะแต่ละแพลตฟอร์ม แต่ละฟีเจอร์ ก็มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นควรเลือกให้ดีและเหมาะสมก่อนจะยิงแอด
อีกหนึ่งข้อควรคำนึงนั่นก็คือรูปแบบของโฆษณา ก็ควรจะต้องสอดคล้องกับแพลตฟอร์ม และจุดประสงค์ รวมไปถึงกลุ่มเป้าหมายที่อาจจะคาดได้จากการใช้ Persona หรือการดูข้อมูลจาก ระบบ CRM หรือ Big Data ต่างๆที่มีอยู่ เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
CPM มีวิธีการคำนวณค่าใช้จ่ายของโฆษณาดังนี้
อัตราค่าโฆษณาที่ต้องชำระขึ้นอยู่กับอัตราต่อ 1,000 คูณด้วยจำนวนครั้งที่ได้แสดงจริง
“CPM x (Impression / 1,000) = เงินโฆษณา”
เช่น หากแพลตฟอร์มนั้นคิดค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 10,000 ต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง และมีการแสดงผลไปทั้งหมด 500 ครั้ง หมายความว่าต้องชำระเงินให้กับแพลตฟอร์มในราคา 5,000 บาท ตามสูตรดังนี้ 500 x (10,000 / 1,000) = 5,000 บาท นั่นเอง
CPM (cost per 1000 impressions หรือ cost per mille) เป็นต้นทุนต่อการแสดงผลโฆษณา 1,000 ครั้ง กล่าวคือจะมีการคิดเงินที่ต้องชำระค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อตัวโฆษณามีการแสดงผลครบ 1,000 ครั้งแล้วเท่านั้น ไม่ได้เป็นการคิดต่อครั้ง หรือต่อคลิก ดังนั้นจึงควรมีความเชี่ยวชาญในการยิงแอดและตำนึงถึงสิ่งต่างๆอย่างถี่ถ้วน
Contact us now