Customer Centric คืออะไร พร้อมตัวอย่างธุรกิจระดับโลกที่ใช้กลยุทธ์นี้

Customer Centric คืออะไร พร้อมตัวอย่างธุรกิจระดับโลกที่ใช้กลยุทธ์นี้

customer centric คืออะไรนะ มาดูกัน

15 ธันวาคม, 2022

หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ลูกค้าคือพระเจ้า” ที่คุ้นหูกันอย่างดี แต่จริงๆแล้วการที่มีสินค้าหรือบริการคอยหมุนวนอยู่รอบตัวของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจและต้องการที่จะซื้อสินค้าหรือบริการไปเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นลูกค้าประจำ สิ่งนี้เรียกว่า Customer Centric

ในบทความนี้จะอธิบายถึง Customer Centric คืออะไร, Customer Centric Mindset และ ตัวอย่างของ Customer Centric นั่นเอง ถ้าพร้อมแล้วไปติดตามอ่านกันได้เลย

ยาวไปไม่อ่าน คลิกเลย hide

Customer Centric คืออะไร

Customer Centric คือ การยึดเอาลูกค้ามาเป็นศูนย์กลางในการทำกลยุทธ์ทางธุรกิจเป็นอันดับแรก และเป็นแกนกลางของธุรกิจ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์เชิงบวกและเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวอีกด้วย

เมื่อให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นแกนหลัก รวมกับการทำ CRM จะทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลได้จำนวนมาก ช่วยให้สามารถมองเห็นลูกค้าได้ 360 องศาเลยทีเดียว และข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าได้อีกด้วย

การทำ Customer Centric จะช่วยให้สามารถทำความเข้าใจ เข้าใจพฤติกรรม รวมไปถึงความสนใจ และการมีส่วนร่วมของลูกค้าตลอดการใช้งานของลูกค้า

โดยมีงานวิจัยของ Deloitte และ Touche พบว่าธุรกิจที่ใช้ Customer Centric จะทำกำไรได้มากกว่า 60% เมื่อเทียบกับธุรกิจที่ไม่ได้ใช้ ดังนั้นแล้วการทำ Customer Centric จึงมีประโยชน์ต่อการทำธุรกกิจอย่างมาก

Customer Centric คืออะไร

ทำไมหลายธุรกิจหันมาใช้กลยุทธ์ Customer Centric

แน่นอนว่าความพึงพอใจของลูกค้านั้นคือสิ่งสำคัญ เพราะถ้าลูกค้าไม่พอใจหรือไม่มีความสุข ลูกค้าก็จะไม่อุดหนุนธุรกิจของคุณ และถ้าไม่มีลูกค้า ก็จะไม่มีธุรกิจ

หากลองสังเกต แบรนด์ที่คุณชอบก็ใช้วิธีการเดียวกันในการดึงดูดให้คุณซื้อสินค้าหรือบริการของแบนด์ ใช้วิธีการสื่อสารอย่างที่คุณต้องการ และมีข้อเสนอที่ดีในเวลาที่ใช่ เพราะฉะนั้นแล้วลูกค้าของคุณเองก็เช่นกัน เพราะเหล่าผู้บริโภคในปัจจุบันมีความง่ายในการทอดทิ้งแบรนด์ที่ตนเองโปรดปราณ อาจะเพราะแค่ความไม่พอใจเพียงครั้งเดียว เช่นเดียวกับการวิจัยของ PWC ที่พบว่าลูกค้า 1 ใน 3 จะทิ้งแบรนด์ที่พวกเขาชอบ หลังจากผ่านประสบการณ์แย่ๆ เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

เพราะฉะนั้น Cusmtomer Journey ตั้งแต่การรับรู้ว่ามีสินค้า บริการ หรือแบรนด์อยู่ ไปจนถึงซื้อสินค้าและกลายมาเป็นลูกค้าประจำ การโต้ตอบ สื่อสารในแต่ละขั้นตอนล้วนมีความสำคัญ และจะได้รับประโยชน์จากการทำ Customer Centric ด้วยสภาพแวดล้อมที่เป็นดิจิทัลแบบในตอนนี้ที่เน้นการปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับแต่ละบุคคล จะทำให้ลูกค้าได้ประโยชน์ไม่เพียงแค่ได้รับในสิ่งที่ต้องการเท่านั้น แต่รวมไปถึงการบริการที่ดีและราบลื่นในทุกๆขั้นตอน ประสบการณ์ที่ดีเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถรักษาลูกค้าในระยะยาวได้นั่นเอง

เรื่องท้าทายเมื่อธุรกิจใช้กลยุทธ์ Customer Centric

การทำกลยุทธ์แบบ Customer Centric ก็มีความท้าทายที่ต้องพบเจอ โดย Rocket ได้แบ่งความท้าทายเหล่านี้ออกเป็น 3 เรื่องด้วยกัน ดังนี้

กลยุทธ์ Customer Centric

1. ได้รับการตอบรับ และสร้างวัฒนธรรม

ความท้าทายแรก คือความท้ายทายที่ยากที่สุดเพราะจับต้องจริงได้น้อยมากๆ การสร้างวัฒนธรรมที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง หรือ Customer Centric นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย โดยต้องมีการทำให้เห็นตั้งแต่ตัวของผู้บริหารลงมาสู่ระดับปฏิบัติการ และทุกคนในองค์กร หรือบริษัทก็ต้องมีความเชื่อ ดำเนินการ และประสบความสำเร็จ และในบางครั้งก็จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก เน้นไปที่วิสัยทัศน์ในระยะยาว และเน้นอะไรก็ตามที่มากกว่าแค่ผลลัพธ์ เรื่องเหล่านี้จะต้องถูกปลูกฝังลงไปในตัวของพนักงานทุกคนเพื่อให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นลำดับแรก

2. เปลี่ยนจากยึดผลิตภัณฑ์เป็นศูนย์กลางสู่ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง

หลายๆธุรกิจปรับเปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์ Customer Centric อย่างเช่น Starbucks ที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงในทศวรรษที่ผ่านมา เพราะลูกค้ามีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป การใช้ข้อมูลต่างๆล้วนช่วยส่งเสริมความสามารถในการปรับเปลี่ยน และเพิ่มความเข้าใจ พร้อมทั้งส่งมอบสิ่งต่างๆได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า เพราะมีข้อมูลเชิงลึกเข้ามาช่วย ดีกว่าการหว่านแหออกไปกว้างๆ แต่ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นการสร้างกลยุทธ์และกระบวนการที่มุ่งเน้นไปที่ลูกค้าอย่าง Customer Centric นั้นเป็นขั้นตอนสำคัญในการชนะความท้าทาย

3. การรวบรวมข้อมูลจำนวนมาก

ในยุคที่เป็นโลกดิจิทัลแบบนี้ ข้อมูลล้วนเป็นสิ่งสำคัญของการทำการตลาดในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะกับกลยุทธ์ Customer Centric เพราะด้วยการที่มีลูกค้าเป็นแกนกลาง การมีข้อมูลของลูกค้าก็คือสิ่งสำคัญ ทั้งข้อมูลทั่วไป ข้อมูลพฤติกรรม ความสนใจ ประวัติการซื้อ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงข้อมูลของทั้งสินค้าและบริการที่ต้องตอบคำถามหรือข้อสงสัยของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ช่องทางในการติดต่อสื่อสารก็มีมากมายหลายช่องทาง ประวัติการพูดคุยโต้ตอบก็ต้องมีการบันทึกไว้เช่นกัน เพื่อให้เกิดความลื่นไหลและน่าพึงพอใจแก่ลูกค้าเพราะฉะนั้นการเก็บบันทึกและการจัดรเบียบข้อมูลคือเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก เพราะเป็นเหมือนกุญแจสำคัญในการสร้างความเข้าใจและความพึงพอใจแก่ลูกค้า การใช้ซอฟต์แวร์อย่าง ระบบ CRM ระบบสมาชิก หรือ ระบบสะสมแต้ม ก็จะสามารถเป็นตัวช่วยให้ก้าวข้ามความท้าทายนี้ได้อย่างดี

วิธีการสร้าง Customer Centric Mindset ที่องค์กรควรรู้

ความคิดหรือ Mindset เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญในการทำ Customer Centric เพราะหากว่าทุกคนในองค์กรหรือบริษัทไม่สามารถมีแนวความคิดไปในทิศทางเดียวกันได้ ก็อาจจะส่งผลทำให้กลยุทธ์นี้ไม่สามารถมีผลลัพธ์ที่น่าพอใจ เพราะฉะนั้น Rocket อยากจะแนะนำวิธีการในการสร้าง Customer Centric Mindset ที่ควรทราบทั้งหมด ได้แก่

• สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ใส่ใจลูกค้า เน้นลูกค้าเป็นแกนกลาง

• หยุดการทำงานแบบตัวคนเดียว ไม่สนใจผู้อื่น ไม่สนใจรอบข้าง

• เน้นความสำคัญในการสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล

• รับฟังผลตอบรับ หรือความคิดเห็นของลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ

• วิเคราะห์และติดตามพฤติกรรมหรือความสนใจของลูกค้าอยู่ตลอด

• ใช้ระบบ AI หรือซอฟต์แวร์ต่างๆมาเป็นตัวช่วยในการลดภาระงาน เช่น เก็บข้อมูล แชทบอท

• สร้างภาพของแบรนด์ให้เป็นที่น่าจดจำ และทำให้ลูกค้ารับรู้ถึงความสนใจ ใส่ใจ

• มีหลากหลายช่องทางในการติดต่อ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว

• มุ่งเน้นไปที่ความเชื่อมั่นของทั้งองค์กร และคิดวางแผนร่วมกันในระยะยาว

เพียงเท่านี้ก็ทำให้องค์กรของคุณมี Customer Centric Mindset ที่ตรงกัน และพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกันแล้ว

3 วิธีวัดความสำเร็จของธุรกิจในการทำ Customer Centric

ไม่ใช่ว่าในทุกองค์กรจะสามารถวัดค่าความสำเร็จในการทำ Customer Centric ได้เท่ากัน เพราะฉะนั้นนี่จะเป็น 3 วิธีในการวัดผลการทำ Customer Centric ที่สำคัญ

1. อัตราการเลิกเป็นลูกค้า (Churn rate)

เป็นที่รู้กันว่าการหาลูกค้าใหม่นั้นยากและท้าทายมากกว่าการรักษาฐานลูกค้าเดิม เพราะการหาลูกค้าใหม่อาจจะมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการรักษาลูกค้าเดิมถึง 5 เท่า และการรักษาลูกค้าเดิม 2% ก็จะส่งผลถึงทั้งกำไรและลดต้นทุนได้ถึง 10% โดยปกติแล้วแบรนด์ต่างๆจะเสียประมาณ 10% ของฐานลูกค้าเดิมในแต่ละปี ดังนั้นการทำความเข้าใจว่าทำไมลูกค้าถึงเลิกซื้อหรือสนับสนุนแบรนด์ของคุณ และทำไมลูกค้าที่ยังซื้ออยู่ถึงไม่แปรเปลี่ยนไปไหน

สาเหตุที่ลูกค้าหายไปอาจจะเกิดจากเรื่องเหล่านี้

• ฝ่ายสนับสนุนไม่สามรถตอบคำถามหรือตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันที

• แบรนด์ขาดช่องทางในการบริการตนเองแบบอัตโนมัติ เช่น คำแนะนำในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชั่น

• ลูกค้ารู้สึกว่าไม่คุ้มค่ากับการที่จ่ายเงินและสนับสนุนแบรนด์แต่กลับได้รับคืนไม่มากพอ ไม่ว่าจะสิทธิพิเศษ หรือส่วนลดต่างๆ

การวัด Churn Rate ทำได้โดยนำจำนวนลูกค้าที่หายไปในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา นำมาหารกับจำนวนเฉลี่ยของลูกค้าทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกัน ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

อัตราการเลิกเป็นลูกค้า เพื่อวัด Customer centric

2. คะแนนความพึงพอใจของลูกค้าต่อองค์กร (Net Promoter Score)

การวัดความพึงพอใจของลูกค้าสามารถวัดได้โดย Net Promotor Score หรือ NPS ที่มุ่งเน้นไปที่ความภักดีของลูกค้าด้วยคำถามเพียงคำถามเดียว และแต่ละครั้งที่ลูกค้าตอบคำถาม คำตอบเหล่านี้ก็จะถูกแบ่งตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ดังนี้

• Promotors (9-10): ลูกค้าในกลุ่มนี้คือลูกค้าที่รักในแบรนด์หรือชื่นชอบในสินค้าหรือบริการของคุณ โดยมีแนวโน้มที่จะแนะนำสินค้าหรือบริการให้กลับบุคคลอื่นได้รู้จักต่อ และมีโอกาสที่จะเป็นลูกค้าประจำ โอกาสกลับมาซื้อสินค้าซ้ำมีสูง

• Passives (7-8): ลูกค้ากลุ่มนี้พอใจกับการเป็นลูกค้าของแบรนด์ แต่มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนใจไปหาคู่แข่งของคุณหากพบว่ามีสินค้าหรือบริการที่ดีกว่า หรือโปรโมชั่นที่น่าดึงดูดมากกว่า

• Detractors (0-6): ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่พอใจกับสินค้าหรือบริการของคุณ และมีแนวโน้มสูงที่จะทำลายชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของแบรนด์คุณด้วยการแบ่งบันประสบการณ์เชิงลบออกไปให้กับเพื่อนฝูงหรีอคนรู้จัก

เป็นที่แน่นอนว่ายิ่งมี Promotors มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งส่งผลดีกับแบรนด์และธุรกิจของคุณมากเท่านั้น และวิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ง่ายและได้รับความนิยมในการวัด Customer Centric

Net Promoter Score ในการวัด Customer centric

3. Customer lifetime value (CLV)

Customer lifetime value (CLV) หรือ มูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า เป็นวิธีวัด Customer Centric อีกวิธีหนึ่ง สำหรับแบรนด์หรือธุรกิจที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ลูกค้าก็เปรียบเสมือนทรัพย์สินที่มีค่าสูงสุดนั่นเอง

การทำ CLV เป็นการวัดรายได้ที่ลูกค้าจะมอบให้แบรนด์ ตั้งแต่ที่ลูกค้ามีการซื้อและชำระเงินในครั้งแรก และจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อลูกค้าเลิกซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ

การคำนวณหา CLV ทำได้โดย รวมรายได้ที่ได้รับจากลูกค้าคนหนึ่งทั้งหมด แล้วคุณด้วยระยะเวลาของลูกค้าคนนั้นที่เป็นลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้น ต่อด้วยการหักต้นทุนทั้งหมดที่ทำให้ได้ลูกค้ารายนี้มา เช่น ลูกค้าใช้จ่าย 10,000 บาทต่อปี และระยะเวลาเฉลี่ยของลูกค้าคือ 10 ปี ก็จะเป็นการคูณ 10,000 กับ 10 ปีเข้าด้วยกัน ได้มาเป็น 100,000 บาท ลบด้วยต้นทุน โดยสมมติว่าอยู่ที่ 20,000 บาท เพราะฉะนั้น CLV ของลูกค้ารายนี้คือ 80,000 บาท นั่นเอง

โดยการคำนวณรูปแบบนี้จะช่วยให้เข้าใจว่าทำไมการลงทุนในการรักษาฐานลูกค้าจึงเหมาะสม และสมควรทำกับลูกค้า เพราะแทนที่จะมองแต่รายได้ ให้มองไปที่มูลค่าแทนนั่นเอง

การวัด customer centric ด้วย Customer lifetime value

รู้จักกลยุทธ์ Consumer 3 F

 

กลยุทธ์ Consumer 3 F นั้นสามารถนำมาปรับใช้เพื่อช่วยเหลือในการทำ Customer Centric ได้อย่างดี แต่ Consumer 3 F คืออะไร และประกอบไปด้วยอะไรบ้าง?

 

การวัด customer centric ด้วย Customer lifetime value

 

กลยุทธ์ Consumer 3 F คืออะไร

กลยุทธ์ Consumer 3 F คือ กลยุทธ์เพื่อให้พนักงานรับรู้และเข้าใจสาเหตุของปัญหาที่ลูกค้าพบเจอหรือเกิดขึ้น เพื่อให้พนักงานสามารถแก้ไขและช่วยเหลือลูกค้าได้อย่างตรงจุด พร้อมทั้งสามารถรับมือเพื่อให้ลูกค้ามีความรู้สึกที่ดีต่อบริการหลังการขายมากขึ้น

 

Consumer 3F ประกอบด้วยอะไรบ้าง

กลยุทธ์ Consumer 3 F ประกอบไปด้วย

• Feel: การเข้าใจความรู้สึกของลูกค้า

• Felt: การที่เคยได้รับประสบการณ์เช่นเดียวกัน

• Found: การพบเจอกับหนทางในการแก้ปัญหา

การใช้ F ทั้งสามก็จะช่วยให้มีความเข้าใจและพร้อมที่จะแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้อย่างดีนั่นเอง

ตัวอย่าง Customer Centric จากแบรนด์ L’Oreal

หลากหลายแบรนด์ยักษ์ใหญ่ก็มีการใช้ Customer Centric มาเป็นกลยุทธ์หลัก หนึ่งในแบรนด์เหล่านั้นก็คือ L’Oreal นั่นเอง โดยแบรนด์ได้คิดโดยนำเอาความต้องการของลูกค้ามาเป็นหลัก เพราะลูกค้าแต่ละรายก็มีความชอบ ความต้องการในการแต่งหน้าที่ต่างกัน ดังนั้นแบรนด์จึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสานการแต่งหน้าได้ตามความต้องการของลูกค้าในชื่อ L’Oréal Perso ที่เป็นอุปกรณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI สร้างสรรค์สูตรเฉพาะทั้งลิปสติก รองพื้น และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า โดยมีการใช้ AI ในการวิเคราะห์ผิวของลูกค้าผ่านการอัปโหลดรูปภาพผ่านแอป Preso จะมีการระบุสภาพผิวเชิงลึก ทั้ง จุดด่างดำ รูขุมขน หรือริ้วรอย และต่อด้วยการคำนวณสภาพแวดล้อมของลูกค้าอย่างละเอียด ทั้งมลภาวะ ละองเกสรดอกไม้ รังสียูวี เพื่อสร้างสูตรเฉพาะให้กับลูกค้าแต่ละรายให้ครบจบในสินค้าเพียงโดสเดียว ด้วยการแบ่งอัตราส่วนอย่างสมบูรณ์แบบ

กุยฟ์ บาลูช รองประธานระดับโลกของ L’Oréal กล่าวไว้ว่า “ผู้บริโภคต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างขั้นตอนความงดงามของตัวพวกเขาเอง และต้องการที่จะมีสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากขึ้นกับสินค้า ดังนั้น เราจึงให้ลูกค้ากลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องสำอางของคุณเอง”

ตัวอย่าง Customer Centric

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Customer Centric

Customer Centric เกี่ยวข้องอย่างไรกับระบบ CRM (Customer Relationship Management)

แน่นอนว่าการใช้กลยุทธ์ Customer Centric นั้นต้องอาศัยข้อมูลเป็นจำนวนมาก และต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลเอาไว้เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อได้ทั้งการวิเคราะห์ความต้องการหรือพฤติกรรมของลูกค้า รวมไปถึงข้อมูลที่เป็นประวัติในการซื้อของหรือโต้ตอบกับทางแบรนด์ ดังนั้นระบบ CRMจะเข้ามามีส่วนสำคัญในการจัดเก็บข้อมูลและช่วยในการรักษาความสัมพันธ์ของลูกค้ากับแบรนด์ ระบบ CRM จึงเป็นตัวช่วยชั้นดีในการทำกลยูทธ์ Customer Centric นั่นเอง

ลักษณะของธุรกิจที่มี Customer Centric มีอะไรบ้าง

ลักษณะของธุรกิจที่มี Customer Centric ได้แก่

• มีลูกค้าเป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจ

• มีวัฒนธรรมองค์กรที่มีลูกค้าเป็นหลัก

• มีความเข้าใจลูกค้าด้วยการเก็บข้อมูล

• มีการวัดผลลัพธ์ในการดำเนินกลยุทธ์

• มีการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างดี

สิ่งที่สำคัญที่สุดของ Customer Centric

สิ่งที่สำคัญที่สุดของกลยุทธ์ Customer Centric ก็คือ Customer หรือลูกค้านั่นเอง เพราะถ้าไม่มีลูกค้าก็ไม่สามารถมีธุรกิจได้ และข้อมูลของลูกค้าทั้งข้อมูลทั่วไปและข้อมูลเชิงลึก ทั้งด้านประวัติ ความสนใจ และพฤติกรรมก็ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้สามารถสื่อสารแบบเฉพาะบุคคลออกไปได้

ข้อสรุปเกี่ยวกับ Customer Centric

จากในตอนต้นเราเปิดบทความด้วยประโยคที่คุ้นหูอย่าง “ลูกค้าคือพระเจ้า” แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ไม่อยากให้คุณคิดแบบนี้เสมอไป อยากให้คิดว่า “ลูกค้าคือคนที่ควรให้ความสำคัญและเข้าใจให้มากที่สุด” เพราะการทำ Customer Centric คือการนำลูกค้ามาเป็นศูนย์กลางในการทำธุรกิจ โดยต้องมีการทำตั้งแต่วัฒนธรรมองค์กร ตามมาด้วยทุกคนในองค์กรก็ต้องมีความคิดในแบบเดียวกัน คือทำให้ลูกค้ามีความพึงพอใจสูงสุด  เพื่อให้ลูกค้ากลายมาเป็นลูกค้าประจำ และกลับมาอุดหนุนแบรนด์ของคุณอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆนั่นเอง

Rocket ก็หวังว่าหลายท่านจะนำ Customer Centric ไปปรับใช้ และหากต้องการตัวช่วยในการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าหรือจัดเก็บข้อมูลของลูกค้า ทางเราก็มีบริการรับทำ CRM ที่จะคอยช่วยเหลือท่านในเรื่องนี้ สามารถติดต่อกับพวกเรา Rocket ได้ทุกเวลาในทุกๆช่องทาง

เรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Customer Centric

 

เรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับ Customer Centric

Customer Relationship Management หรือ CRM: เป็นการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าที่เป็นลูกค้าเดิมกลายมาเป็นลูกค้าประจำ และกลับมาซื้อสินค้าหรือบริการของคุณซ้ำหลายๆครั้งอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้อย่างดี และง่ายกว่าการไปเสาะหาลูกค้าใหม่ๆ

OmniChannel: เป็นการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าในหลากหลายช่องทาง โดยต้องมีการเชื่อมโยงช่องทางต่างๆรวมให้เป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์ เพื่อให้มีความราบลื่นในของข้อมูลในการสื่อสารกับลูกค้าเพื่อให้เกิดความพึงพอใจ

Segmentation: เป็นการแบ่งกลุ่มของลูกค้าออกเป็นกลุ่มย่อย ด้วยเกณฑ์ในการแบ่งที่คล้ายคลึงกัน มีสมาชิกในลักษณะคล้ายๆกัน เป็นเครื่องมือสำคัญในการใช้เพื่อระบุความต้องการของกลุ่มลูกค้า เพื่อให้ตอบสนองกับความต้องการของลูกค้าได้ในทันทีและตรงจุด


Download E-Book Free!

Lorem Ipsum is simply dummy text of the

Download now !

test

Related Blogs

ตัวอย่าง-crm

ตัวอย่าง CRM ของบริษัทต่างๆ มีอะไร?

ในโลกแห่งการตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การเข้าใจและใช้ระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) อย่างมีประสิ…

#MARKETING
big data คืออะไร

Big Data คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร ?

ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลในปัจจุบัน การทำความเข้าใจและใช้ประโยชน์ Big Data มีความสำคัญอย่างinteยิ…

#MARKETING
Database

Database คืออะไร มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร?

ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลในปัจจุบัน ความสามารถในการจัดการและใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพมีความสำคั…

#MARKETING

LINE

Call

Free trial

test

Contact

Contact us now

test

✓ Valid number ✕ Invalid number
This field is for validation purposes and should be left unchanged.

Stronger loyalty, through smarter engagement